ผักกาดขาวมหัศจรรย์

สร้างโดย ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหนองไทร (จังหวัดสระแก้ว)

ผู้จัดทำ นางสาวอรสา ตระกูลสา

ประเภทตัวชี้วัด : สถานศึกษาสามารถจัดการประสบการณ์การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพและเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ



            การทดลอง ตอน ผักกาดมหัศจรรย์ ผักกาดขาวที่เราเห็น หลากสีตามท้องตลาดนั้น จริง ๆ แล้วเป็นสีจริง ๆ ของผักกาดขาวหรือเป็นสีที่ปรุงแต่งขึ้น สำหรับการทดลองนี้ เราจะมาทดลองสร้างสีสัน ให้กับผักกาดขาวกัน อุปกรณ์ 1. ผักกาดขาว 2. สีผสมอาหาร (สีแดงหรือสีน้ำเงิน) 1-2 หยด 3. แก้วน้ำทรงสูงบรรจุน้ำประมาณ 3 ส่วน 4.หนังยาง วิธีการทดลอง 1. หยดสีผสมอาหารลงในแก้วที่บรรจุน้ำ 2.รินนำ้ลงในแก้วที่มีสีอยู่ ไม่ต้องใส่นำ้เยอะมากเพราะจะทำให้สีจางแล้วผสมส่ให้เข้ากัน 3. นำผักกาดขาวที่เตรียมไว้ลงในแก้วน้ำที่เราผสมสีไว้แล้ว 4. วางไว้ สังเกตสีของผักกาดขาวที่เปลี่ยนไป และสังเกตระดับของน้ำที่ลดลง จากการทดลองเมื่อ แช่ผักกาดขาวไว้ในน้ำสีไว้สักพัก จะเห็นว่าผักกาดสีขาวบริสุทธิ์ได้เปลี่ยนสีไปแล้ว และระดับน้ำก็ลดลงมาจากตำแหน่งเดิมที่เราใช้หนังยางรัดไว้ หลายคนคงสงสัยว่า สีที่ผสมอยู่ในน้ำเคลื่อนที่ขึ้นไปได้จนถึงผักกาดขาวอย่างไรกัน พืชก็เหมือนกับมนุษย์เราที่ต้องกินน้ำ กินอาหาร เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ โดยสีที่เคลื่อนที่ขึ้นไปจนทำผักกาดขาวเปลี่ยนสีนั้น แสดงให้เห็นว่ามีการลำเลียงน้ำจากในแก้วขึ้นไปตามกลีบของผักกาดขาวและระดับน้ำที่ลดลงนั้นก็เกิดจากการดูดน้ำของต้นไม้ ในพืชมีระบบลำเลียงน้ำและอาหารเช่นเดียวกับมนุษย์เราที่มีระบบเลือดช่วยใน การลำเลียงน้ำและอาหารไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย สำหรับระบบลำเลียงในพืชนั้นมีลักษณะเป็นหลอดเล็ก ๆ จำนวนมากมาย ทั้งท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุ ที่เรียกว่า ไซเลม (Xylem) และท่อลำเลียงอาหาร จำพวก น้ำตาล และกรดอะมิโน ที่สร้างขึ้นจากการสังเคราะห์แสง เรียกว่า โฟลเอม (Phloem) ท่อลำเลียงทั้งสองจะนำน้ำและอาหารกระจายไปทุกส่วนของพืช เพื่อการเจริญเติบโต ประโยนช์ที่จะได้รับจากการทำกิจกรรม 1.นักเรียนเรียนรู้เรื่องสีต่างๆรู้จักแม่สีและสามารถตอบคำถามต่างๆเกี่ยวกับสีได้ 2.นักเรียนเรียนรู้เรื่องการดูดซึมของต้นไม้และการเปลี่ยนแปลงของสีได้ 3.นักเรียนจากการสังเกตธรรมชาติรอบตัว 4.นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างสนุกสนานกับเพื่อนและมีความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรม 5.นักเรียนได้มีการแสดงออกและลงมือปฎิบัติในการทำกิจกรรมและมีการซักถามเมือมีข้อสงสัย

ที่มา : http://special2.dusitcenter.org/cdcnews/content.php?nid=5312 | เลขที่ข่าวอ้างอิง : 5312