สนุกกับเส้นด้ายยกน้ำแข็ง

สร้างโดย ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านท่าตุ้ม (จังหวัดลำพูน)

ผู้จัดทำ นางบุษบา ยุวบุตร

ประเภทตัวชี้วัด : สถานศึกษามีการจัดองค์กรโครงสร้างระบบการบริหารและพัฒนาองค์กรอย่างเป็นระบบและครบวงจร



            ธรรมชาติของเด็กส่วนใหญ่จะชอบเล่นน้ำกันทุกคน และช่วงอากาศร้อนจัดเด็กมักจะกินไอศกรีมและน้ำแข็งใส เด็กๆจะชอบน้ำแข็งมากเป็นพิเศษ เพราะน้ำแข็งเมื่อละลายแล้วก็จะเหลวเหมือนน้ำธรรมดา จากการที่พบเห็นหรือสำรวจจะเห็นได้ว่ามีน้ำแข็งหลายชนิด หลายขนาด ซึ่งน้ำแข็งชนิดต่างๆสามารถนำมาบริโภคที่ต่างกัน เช่น น้ำแข็งหลอดจะนำมาใส่น้ำหวานอัดลม น้ำสมุนไพร น้ำผลไม้ ให้รสชาติเย็นสดชื่น น้ำแข็งโม่จะนำมาใส่ของหวานรวมมิตร น้ำแข็งมือจะก้อนใหญ่กว่าน้ำแข็งชนิดอื่นนำมาแช่อาหารสด เช่น ปลาหมึก กุ้ง ปู เป็นต้น และน้ำแข็งที่แช่จากตู้เย็นจะมีลักษณะเหมือนลูกเต๋า และนอกจากนี้ทางครูผู้สอนคิดว่าน้ำแข็งยังสามารถนำมาบูรณาการประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพราะเด็กๆมีความสนใจก้อนน้ำแข็งอยู่แล้ว ทำให้เด็กสามารถเล่นน้ำแข็งได้อย่างสนุกสนาน โดยการนำน้ำแข็งที่แช่จากตู้เย็นมาช่วยในการทดลองในโครงงานวิทยาศาสตร์ในเรื่องของการเกิดอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส เพื่อให้เด็กรู้จักชนิดและขนาดของก้อนน้ำแข็ง ฝึกให้เด็กรู้จักการสังเกตเสริมสร้างการเรียนรู้และประสบการณ์ตรงให้เด็กได้ทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง อุปกรณ์ในการทดลองมีดังนี้ 1. จาน 2. น้ำแข็งจากตู้เย็น 3. เส้นด้าย 4. เกลือป่น ถ้านำเกลือใส่ในตัวน้ำแข็งน่าจะทำให้เกิดอุณหภูมิลดต่ำลงกว่า 0 องศาเซลเซียสได้ ศึกษาเปรียบเทียบก่อนการทดลองและหลังการทดลองและหลักการเกิดอุณหภูมิลดต่ำลงกว่า 0 องศาเซลเซียสระยะเวลาที่ใช้ในการทดลองครั้งนี้ใช้เวลาทดลองเพียง 1 วัน โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 10.00 น.-11.00น. ทำให้สามารถนำก้อนน้ำแข็งมาใช้ในการทดลอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายและเด็กนักเรียนสนใจที่จะเล่นอย่างมีความหมายทำให้ได้เรียนรู้หลักของวิทยาศาสตร์ ในเรื่องของการเกิดอุณหภูมิลดต่ำลงกว่า 0 องศาเซลเซียส เป็นการสร้างกิจกรรมและบูรณาการ การเรียนการสอนระหว่างเด็กกับเรื่องวิทยาศาสตร์สังเกต/บันทึกผล เมื่อน้ำแข็งถูกเกลือที่โรยลงไปจะทำให้น้ำแข็งละลาย เส้นด้ายจะจมลงไปในก้อนน้ำแข็ง เมื่อเวลาผ่านไป 3 นาที ความเย็นจัดจะทำให้น้ำแข็งตัวอีกครั้งและหุ้มเส้นด้ายไว้ในก้อนน้ำแข็ง เมื่อยกเส้นด้ายขึ้นก้อนน้ำแข็งจะติดขึ้นมาอย่างง่ายดาย

ที่มา : http://special2.dusitcenter.org/cdcnews/content.php?nid=3405 | เลขที่ข่าวอ้างอิง : 3405